“สักครั้งในชีวิตต้องพิชิตประเทศญี่ปุ่น”
เชื่อว่าเกิดมาสักครั้งนึงหลายๆคนอยากมีโมเมนต์ไปเที่ยวต่างประเทศไม่ว่าจะกับเพื่อน กับแฟน หรือกับครอบครัวบ้าง พวกเราก็เช่นกันที่อยากมีโมเมนต์ไปเหยียบต่างประเทศ และครั้งนี้เราขอพามาเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่นเพื่อดูความเจริญและกฎระเบียบของผู้คนที่นี่กันสักหน่อย บอกเลยว่ามาแล้วจะหลงรักและหลงไหล จนอยากมาสักครั้งในชีวิตกันเลยย
งบประมาณ
ขอเพิ่มเติมในส่วนนี้หน่อยเนื่องจากมีหลายคนถามมาเป็นจำนวนมากว่าไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งนี้มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่
- ค่าตั๋วเครื่องบินเดินทางโดยสายการบิน ThaiAirAsiaX ไปกลับ รวมโหลดกระเป๋าและทุกอย่างแล้วราคาที่จองได้ 10,xxx ขึ้นอยู่กับช่วงโปรโมชั่น
- ค่าที่พักพวกเรานอน Hostel และบ้านพักซะส่วนใหญ่เฉลี่ย 700 บาท / คน / คืน ( 6 คืน = 4,xxx บาท โดยประมาณ)
- ค่าเดินทางของพวกเราในญีปุ่น รวมทั้ง PASS ไป nikko (2,000 เยน) และ kawaguchiko (ประมาณ 3,500 เยน) ค่าตั๋วรถไฟในญี่ปุ่น = รวมแล้วราวๆ 3,xxx บาท ทริปนี้ส่วนใหญ่เน้นเดินซึบซันบรรยากาศ
- ค่ากินอันนี้แล้วแต่เลยน้า คงจำกัดไม่ได้ขึ้นอยู่กับความชอบและความอยากละกัน พวกเรากินตั้งแต่มื้อละ 200 เยน จนไปถึง 2,000 กว่าเยน
ถ้าไม่รวมค่ากินแล้วเราใช้เงินไปราวๆคนละ 17,000 บาทเองเท่านั้นเอง แต่ถ้ารวมค่ากินแบบอยากกินอะไรก็กินและของฝากช๊อปปิ้ง มีเท่าไรก็ทะลุเพดานแน่นอนจ้าาา
DAY 1
ทริปนี้เป็นทริปที่เน้นความคล่องตัวซะเป็นส่วนใหญ่ ภาพถ่ายทั้งหมดกว่า 95% เลยถูกถ่ายโดย สมาร์ทโฟนกล้อง Leica HUAWEI P10 ที่ให้ภาพได้สวยคมชัดแม้จะในที่แสงน้อยก็สามารถเก็บรูปมาฝากเพื่อนๆกันได้แล้ว พวกเราทั้งหมด 5 คนเดินทางออกจากสนามบินดอนเมืองเกือบๆเที่ยงคืน นอนยาวๆมาตื่นอีกทีที่สนามบินนาริตะ นี่เป็นครั้งแรกของพวกเราที่จะมาตะลุยญี่ปุ่นกันด้วยตัวเอง ครั้งแรกก็จะงงๆและตื่นเต้นหน่อยๆกับการนั่งรถไฟในประเทศนี้ สิ่งแรกที่จะต้องทำนั่นก็คือ การซื้อตั๋วเข้าเมือง เราใช้บริการรถไฟ Skyliner โดยการเข้ามาซื้อตั๋วตรง SKYLINER & KEISEI INFORMATION CENTER ที่สะดวกสบายและง่ายที่สุดสำหรับมือใหม่อย่างพวกเรา ซึ่งรถขบวนนี้จะวิ่งตรงยาวๆไปจนถึงจุดหมายปลายทางของเรารวดเดียวด้วยเวลาเพียง 45นาทีไม่มีแวะจอดเปลี่ยนรถให้พวกเราต้องงง
ได้ตั๋วมาปุ๊บ เราก็เดินมารอขึ้นรถไฟกันเลยจ้าาา ผู้คนที่สถานีก็คึกคัก ยิ่งทำให้พวกเรายิ่งตื่นเต้นไปกันใหญ่ในการบุกญี่ปุ่นในครั้งนี้ ที่สำคัญในการขึ้นรถไฟที่ญี่ปุ่นก็คือ เราจะต้องดูเวลาและปลายทางที่จะไปให้ตรงกันกับป้าย เมื่อมั่นใจว่าเวลาถูกต้องและรอรถถูกชานชาลาแล้วก็ไปกันเลย
ที่หมายของเราจากสนามบิน Narita Airport นั่นก็คือ Asakusa Station และเราก็มาถึงเรียบร้อย การเดินทางของเราในญี่ปุ่นที่จะขาดไม่ได้เลยนั่นก็คือ Google Map เราใช้กันมากกว่า 50% เลยเพราะทริปนี้เราเน้นเดินและนั่งรถไฟกันบอกเลยว่าได้ใช้เทคโนโลยีอย่างเต็มประสิทธิภาพสุดๆก็คราวนี้ล่ะ
ใช้เวลาเดินทางจากสถานีมาไม่ไกลนัก เราเดินทางมาในช่วง มกราคมพอดี อากาศค่อนข้างหนาว อุณหภูมิโดยเฉลี่ยของเช้าวันนี้อยู่ที่ -3 องศาเซลเซียส ทำให้เดินได้เรื่อยๆชิลล์ๆสบายกันแฮะ มาถึงแล้วกับจุดหมายแรกนั่นก็คือ วัดอาซากุสะ หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า วัดเซ็นโซจิ
และมุมมหาชนยอดฮิตที่มาถึงวัดแล้วต้องเช็คอิน นั่นก็คือ ประตูฟ้าคํารณ โคมแดงยักษ์ พวกเรามาเดินผ่านซุ้มประตูนี้กันเพื่อให้ทริปนี้เป็น ลัคกี้ทริป ถือเป็นการเอาฤกษ์เอาชัยกันสักหน่อย แต่ก่อนจะเดินเข้าไปข้างใน ต้องได้ภาพสักแช๊ะสองแช๊ะแล้วก็เดินเข้าไปข้างในวัดกันต่อเลย
แต่บอกเลยว่าทริปนี้จะขาดสัญญาณอินเตอร์เน็ตม่ายยยด้ายยยย ดังนั้นพวกเราจึงต้องพึ่ง SIM2FLY จาก AIS ที่ราคาไม่แรงแถมสัญาณดี๊ดีอีกด้วยเราทั้งแก๊งค์เลือกใช้ของ AIS กันหมดเลย ในราคาเพียง 399 บาท ได้เน็ตแบบเต็มสปีดไม่อั้นมาด้วยถึง 5 GB อายุการใช้งาน 8 วันเต็มทริปกันเลยทีเดียว สัญญาณดีไม่มีติดขัด สะดวกและใช้งานง่ายมากกก แค่ถอดซิมเดิมแล้วเปลี่ยนมาเป็น SIM2FLY แค่นี้ก็สามารถใช้งานอินเตอร์เน็ตได้แล้ว
มาจ้าาา ตามพวกเราเข้าไปดูภายในวัดกันเลย
เช้านี้คนแน่มากกกก คนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ เดินกันขวักไขว่เต็มไปหมด หลายคนก็ลากกระเป๋าเดินทางมาที่นี่เป็นสถานที่แรกเหมือนพวกเราเลย ภายในวัดมีบริเวณกว้างขวาง มีทั้งโซนที่ไว้ให้เราเข้าไปสักการะพระพุทธรูป โซนที่ขายธูปและเครื่องรางต่างๆ และโซนสำหรับเขียนใบอธิษฐาน
ที่เห็นคนกำลังมุงๆกันอยู่ มีควันธูปลอยโขมงเต็มไปหมด แต่เอ๊ะ!! ทำไมแต่ละคนหน้าตาดูจริงจัง และพวกเค้าก็ทำท่าเดียวกันหมดเลยนะ ฮ่าๆ มุมนี้ก็คือ มุมรับโชคนะจ๊ะ เอามือมากวักๆ ให้ควันธูปลอยเข้ามาหาตัวเรา ชาวญี่ปุ่นเค้าว่ากันว่า จะกวักเอาความโชคดี และสิ่งมงคลให้เข้ามาหาตัวเรา เอ้าา รู้แล้วก็กวักกันรัวๆเล้ยยยย
ส่วนตรงมุมนี้ พวกเค้าเหล่านี้ไม่ได้หิวกระหายน้ำแต่อย่างใดนะ แต่ตรงจุดนี้ เชื่อกันว่า เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ ก็คงจะประมาณคล้ายๆน้ำมนต์ของบ้านเรานั่นล่ะ วิธีชำระล้างทำได้ดังนี้ ก็คือ อันดับแรกใช้มือขวาถือกระบวยและตักน้ำขึ้นมา แล้วใช้น้ำราดมือด้านซ้าย จากนั้นเปลี่ยนมาถือกระบวยด้วยมือซ้ายและราดน้ำลงที่มือขวา แล้วใช้มือขวาตักน้ำด้วยกระบวยอีกครั้ง แล้วรองน้ำใส่ในมือซ้าย จากนั้นก็นำน้ำกลั้วปากและล้างใบหน้าเล็กน้อยแต่อย่าดื่มน้ำนั้นนะ ให้บ้วนลงด้านล่าง ขั้นตอนสุดท้าย ล้างมือซ้ายอีกครั้ง และล้างกระบวยด้วยน้ำที่เหลือ แล้วจึงเก็บไว้ที่เดิม เป็นอันเสร็จสิ้นวิธีการจ้าา
เข้าไปไหว้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัดกันได้ตรงนี้เลยน๊าาา
ส่วนมุมนี้ที่เห็นคนกำลังมุงๆกันอยู่อีกแล้ววว พวกเค้าก็กำลังเขียนใบอธิษฐานกันอยู่นั่นเอง อย่างบ้านเราก็จะมีการเสี่ยงเซียมซี และก็เอาใบเซียมซีมามอ่านใช่มั้ย แต่ที่นี่ เค้าก็จะมีกระดาษสำหรับเขียนคำอธิษฐานลงไป แล้วก็เอามาผูกไว้ตรงที่ๆทางวัดจัดเตรียมไว้ให้ จะได้สมหวังกันถ้วนหน้า
โอเคคคค อิ่มบุญ รับโชคลาภจากในวัดกันไปเรียบร้อยแล้ว เราก็มาเดินสำรวจโซนรอบๆวัดกันหน่อย โอ๊ยยย แถวนี้คนก็เดินกันเยอะแยะไปหมดเช่นกันจ้าา แถวนี้มีทั้งร้านขายของฝากต่างๆมากมาย และร้านขายพวกขนม น่ากินๆทั้งนั้นเลย
โอ้โหหห ร้านนี้ทำไมคนมันแน่นอย่างนี้นะ เค้ามีอะไรดี เดี๋ยวขอแวะเข้าไปดูสักหน่อยซิ
อ้ออออ ที่แท้ร้านนี้ก็เป็นร้านซาลาเปาทอดชื่อดังของวัดนี้นี่เองจ้าา มีซาลาเปาทอดให้เลือกมากมายหลายไส้กันเลยทีเดียว คล้ายๆประมาณโมจิชุบแป้งทอด ข้างในจะสอดไส้ต่างๆ แต่บอกเลยว่าอร่อยทุกไส้ ราคาก็ตั้งแต่ 100กว่าเยนไปจนถึง สองร้อยกว่าเยน แล้วแต่ไส้ ส่วนตัวเราจะชอบไส้ซากุระกับไส้มัทฉะ อร่อยเข้มข้นดี อร่อยแค่ไหน ลองดูได้จากหน้าตาสุดฟินของผู้ชิมสิจ๊ะ ฮ่าๆๆ
แล้วเราก็เดินตามทางในย่านอาซากุสะมาเรื่อยๆ พูดง่ายๆว่าช่วง 2-3 ชั่วโมงแรกนั้นยังเห่อกับบรรยากาศและความหนาวเหน็บที่ญี่ปุ่นอยู่นั่นเองง
แต่ที่พลาดไม่ได้เลยก็คือ ร้านไอศกรีมชาเขียว Suzukien x Nanaya ที่วัดอาซากุสะ เจ้าเก่า เจ้าดัง ที่ใครไปใครมาวัดอาซากุสะต้องลอง ซึ่งร้านนี้ถ้าช่วงก่อนๆคนที่มาอาจต้องไปรอคิวอีกที่นึงเพื่อรับบัตรคิวกันเลยทีเดียว ซึ่งไฮไลท์ของที่นี่ก็คือ ไอศครีมชาเขียวจะมีให้เลือกทั้งหมดตั้งแต่ระดับ 1-7 กันเลย บอกเลยว่าถ้าใครชอบเข้มข้นจัดๆแบบชาเขียวแท้ๆต้อง Level7 จ้าาา ฟินฟันเขียวขมมัทฉะแท้ๆแน่นอน
ยังคงอยู่ในย่าน ASAKUSA เดินต่อมาอีกไม่ไกล จากนั้นเราก็เดินมาเอาเจ้า PASS TOBU ที่จะใช้เดินทางสำหรับไป Nikko พวกเราได้จองกันมาจากเมืองไทยแล้วนั่นเอง ส่วนบริเวณนี้เป็นหน้าสถานีที่จะเข้าไปยัง TOBU Tourist Information Center
เข้ามาแลก PASS ด้านในนี้โดยใช้เพียงใบจองที่ปริ้นท์มาและบอกวันที่ ที่จะเดินทาง เจ้าหน้าที่น่ารักมากแนะนำเป็นอย่างดีแถมทั้งยังมีเอกสารการเดินทางเป็นภาษาไทยให้เราอีกด้วยนะ
อันนี้เป็นหน้าตาของ NIKKO PASS ที่แลกมาก็จะเป็นแบบนี้ เป็นแบบ world heritage area ในราคา 2,000 เยน/ใบ เป็น PASS ที่เที่ยวได้เฉพาะโซนในเมืองเท่านั้น แต่นั่งบัสและรถไฟ ในนิกโกะได้ไม่จำกัดรอบภายในระยะเวลา 2 วัน 1 คืน จ้าาา
ขอเช็คอินกับ Tokyo Skytree ให้เพื่อนที่ไทยรู้ซะหน่อยว่ามาถึงแล้ว
แล้วเราก็จะเดินไปย่านอุเอโนะ เพื่อไปที่พักของเรากัน ระหว่างทางก็จะผ่าน Tokyo skytree ที่มีมุมถ่ายรูปสวยๆให้ชิคๆกันได้เลยยย แถมเจอคนญี่ปุ่นใส่กิโมโนมาเดินเล่น เลยขอเซลฟี่สักรูปสองรูปได้เลยยยย คือนางใจดีและเฟรนลี่มากมาย ^^ นอกจาก google map ที่ใช้นำทางแล้วก็อาศัยคนพื้นที่นี่แหละที่ช่วยบอกทางกันแบบละเอียด
จากย่านอาซากุสะเดินเท้ากันมาเรื่อยๆ เพื่อไปที่พักย่านอุเอโนะ ระยะทางคร่าวๆประมาณ เกือบ 2 กิโล ก็ต้องมีหิวกันบ้างสำหรับมื้อเช้าของวัน ไม่พลาดที่จะต้องแวะหาร้านอะไรมาลิ้มลองตกถึงท้องกันสักหน่อย ซึ่งอาหารหลักๆในทริปนี้ของพวกเราก็คงจะทั่วไปไม่ได้มีอะไรพิเศษ เจอร้านไหนก็แวะร้านนั้นเลยไม่ได้มีรีวิวอย่างละเอียดสักเท่าไหร่ เริ่มต้นก็มื้อละประมาณ 300เยน หรือราวๆ 100 บาทนั่นเองงง
ราเมงชามนี้ 700 เยนหรือ 200 กว่าบาท อิ่มแน่นละมุนมากกกกก
ในส่วนของวันแรกนั้นพวกเราเลือกพักที่ &AND HOSTEL UENO ซึ่งเป็นห้องพักรวม 6 คนราคาเบาๆไม่แรงมากแต่มาถึงที่พักเร็วกว่ากำหนดซึ่งทางที่พักจะให้เข้าเช็คอินได้ 16.00 น. เลยจำเป็นต้องฝากกระเป๋าไว้ก่อนซึ่งมีค่าฝากกระเป๋า คนละ 200 เยนจ้าาา (2ใบ/คน)
เดินมาอีกไม่ไกลจากที่พักจะเป็น UENO STATION และที่หมายต่อไปที่เราเลือกจะไปนั่นก็ครืออออ AKIHABARA นั่นเองงงงง ค่าตั๋วรถไฟอยู่ที่ 140 เยน
พอลงสถานี Akihabara เราก็เจอเข้ากับกับดักทันที โถ่เอ๊ยยย ยังไม่ทันได้ออกจากสถานีก็โดนซะแล้ว มีกี่ร้อยเยนก็หมดในพริบตา Y^Y กาชาปองคือดีทุกตู้จริงๆ ย่านนี้มันสวรรค์ของเหล่าโอตาคุชัดๆ
ในย่านนี้ก็จะเป็นแหล่งรวมเครื่องใช้ไฟฟ้า ของเล่นต่างๆทั้งฟิกเกอร์ โมเดล ตู้คีบ กาชาปอง รวมไปถึงเมดคาเฟ่ และเหล่าบรรดาคอสเพลย์ก็จะอยู่ในย่านนี้ เรียกได้ว่าเหมือนพวกเราหลุดเข้ามาในโลกของการ์ตูนกันเลยทีเดียว
กว่าจะดึงตัวเองให้หลุดออกมาจากย่านอะกิฮาบาระได้ฟ้าก็มืดซะแล้ว พวกเราเดินกันอย่างสะบักสะบอมจนมาถึง ตลาด Ameyoko พอบอกเพื่อนในแก๊งค์ว่าแถวนี้มีของกิน ทุกคนก็เหมือนมีแรงฮึดขึ้นมาในทันที
ย่านนี้ก็จะเป็นย่านช็อปปิ้งที่มีสินค้าแทบจะทุกอย่างให้ช็อปกันในราคาไม่แพง รวมไปถึงอาหารและผลไม้ต่างๆ อารมณ์ก็จะคล้ายๆกับตลาดกิมหยงที่หาดใหญ่เรานี่ล่ะ ถัดจากตลาดAmeyokoก็จะเป็นตึกม่วงที่เป็นแหล่งช็อปปิ้งสินค้าของฝากราคาถูกที่คนไทยชอบไปกัน แต่ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินมาตลอดทั้งวัน เราก็เลยไม่มีเรี่ยวแรงจะถ่ายรูปกันเท่าไหร่แล้ว
DAY 2
หลังจากที่ลากขากันกลับมาถึงที่พัก พวกเราก็สลบเหมือดในทันที และดีดตัวเองออกจากเตียงในเวลาตี 4 เพื่อเดินทางมาที่สถานีรถไฟ Asakusa เพื่อรอรถเที่ยวแรกในการเดินทางไป NIKKO เมืองมรดกโลก
ในที่สุดก็ได้ขึ้นรถซะที รุงรังกันไม่ต่างจากวันแรก ถึงจะนอนน้อย แต่พวกเรายังคงคึกคักสำหรับการเดินทางในวันนี้ Pass ที่เราแลกมาวันนี้จะใช้เวลาในการเพินทางประมาณ 2 ชั่วโมง มีการเปลี่ยนขบวนบ้าง แต่ก็ถือว่าสะดวกสบาย ไม่มีหลงจ้าาา
รถไฟไปนิกโกะเที่ยวแรก คนยังไม่เยอะ นั่งกันชิลล์ๆ ขอเก็บภาพสวยๆไว้อัพลงไอจีหน่อยละกัน
วิวสองข้างทางถึงแม้ช่วงที่พวกเราไปนั้นยังไม่มีหิมะ แต่ก็ยังคงสวยงาม เป็นธรรมชาติมากๆเลย ได้เห็นวิถีชีวิตย่านชานเมือง ของคนญี่ปุ่น ทุ่งนาในหน้าหนาวที่โอบล้อมไปด้วยภูเขาสูงๆต่ำๆสลับกันไป
รถไฟใกล้นิกโกะเข้าไปทุกที ยิ่งทำให้พวกเรายิ่งตื่นเต้น เห็นแดดแรงๆแบบนี้ แต่อุณหภูมิก็หนาวเลขตัวเดียวนะจ๊ะ
และแล้วรถไฟก็จอดเทียบชานชาลา วิวที่เห็นอยู่ข้างหลังเป็นภูเขาที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ มันสวยซะจนทำให้หายเหนื่อยคุ้มค่ากับเวลา 2 ชั่วโมงที่นั่งมาเลย
นี่คือหน้าตาของสถานีรถไฟ TOBU NIKKO ข้างๆด้านซ่ายที่เห็นเสาสีส้มๆนั่นคือ สถานีรอ BUS สำหรับนั่งเที่ยวชมภายในนิกโกะนั่นเอง ซึ่งเดี๋ยวเราก็จะต้องมารอ BUS ตรงนั้นนั่นแหละ
เพื่อการเดินทางอย่างคล่องตัว พวกเราจึงต้องเอาสัมภาระมาเก็บไว้ที่โรงแรมที่เราได้จองกันไว้ซะก่อน โรงแรมที่เราจองมีชื่อว่า Nikko Park Lodge Tobu Station ซึ่งตั้งอยู่หน้าสถานีรถไฟเลยจ้าา สะดวกสบายเดินไม่ไกลเลย แค่ประมาณ 500เมตรก็ถึงแล้ว
เช็คอินเรียบร้อย ก็เดินมาขึ้นลิฟท์เพื่อเก็บสัมภาระ ห้องพักของเราในวันนี้เป็นห้องแบบเรียวกัง พักได้ 5 คนกว้างและมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเลยทีเดียว เก็บของเรียบร้อย ก็เดินลงไปหามื้อเช้ากินกันก่อนลุย
พวกเราใช้ Google Map ช่วยในการหาร้านอาหารใกล้ตัว และเราก็ได้มาพบกับคุณลุงร้านซาชิมิร้านนี้ อาหารราคาไม่แพงแถมยังสดมากๆ ด้วยความหิวก็เลยไม่ได้ถ่ายรูปมื้อนี้มาให้ดู แฮะๆ
อิ่มแล้ว พร้อมลุยจ้าาา เดินกลับมารอขึ้นบัสที่สถานีกันเลย รถจะวิ่งเรื่อยๆตลอดทั้งวัน Pass ที่เราแลกมาก็นั่งกี่รอบก็ได้ไม่จำกัด แต่ถ้าใครไม่ได้จองแบบพวกเรา ก็จะมีค่าใช้จ่ายในการขึ้นลงบัสแต่ละสถานีคิดตามระยะทางนะจ๊ะ
วิวในเมือง NIKKO นี่บอกเลยว่าช่างสวยมาก เป็นเมืองเล็กๆที่เงียบสงบแถมเจอ 0 องศาเข้าไปนี้หนาวสั่นเลยทีเดียว นึกว่าตัวเองเป็นปลาที่นอนแข็งอยู่ในตู้เย็น
สถานที่เป็นอีกหนึ่งจุดเช็คอินที่ต้องบอกให้เพื่อนรู้เลยเมื่อมาถึง NIKKO แล้วนั่นก็ครือออ สะพานแดง (สะพานชินเคียว) ซึ่งถ้าเราถ่ายจากมุมนี้จะถ่ายได้ฟรีแต่ถ้าอยากได้มุมดีๆ ก็จ่ายตังขึ้นไปถ่ายบนสะพานได้เลยจ้าาา
จากนั้นเราก็นั่งบัสมาลงอีกป้าย ซึ่งแต่ละป้ายก็จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ควรค่าแก่การมามากก ถ้ามีเวลาแนะนำให้แวะทุกที่เลยยย ตอนนี้เราอยู่ในบริเวณพื้นที่ของวัด Taiyuin ซึ่งกว้างใหญ่ไพศาลมากกกถ้าให้ดีแนะนำซื้อตั๋วเข้าไปเที่ยวชมภายในวัดด้วยก็ดีน้าาา บอกเลยว่าระหว่างทางที่เดินนี่มีอะไรสวยๆสะดุดตาให้ถ่ายรูปทุกมุมเลยยย ไม่เชื่อก็ดูเลยจ้า
มุมนี้ก็เฟี้ยวววว
เจดีย์เก่าแก่ 5 ชั้น สีแดง ซึ่งมีคนสนใจจำนวนมากและมายืนต่อคิวถ่ายรูป ส่วนเราขี้เกียจรอคิวก็หามุมสวยๆอีกมุมนึงละกันซึ่งโอบล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ที่อายุหลักร้อยปีเลยย
อันนี้เป็นทางเข้าด้านในน้าาาา ถ้าใครจะเข้าไปอย่างที่บอกต้องซื้อตั๋ว แต่พวกเราเน้นซึบซับหลายๆที่ในวันเดียวก็เลยไม่ได้เข้าไป ยังแอบเสียดายอยู่เลยยย แนะนำเลยว่าถ้ามีเวลาควรจะพักมากกว่า 1 คืนน้าาา
เสาโทริอิ มีเยอะมากกกก บอกเลยว่าสวยงามจ้าา
เดินไปเดินมา ถ่ายรูปไปมา ซึบซับบรรยากาศ ภายในบริเวณวัด เผลอแปปเดียวกินเวลาไปหลายชั่วโมงเหมือนกัน เพราะบรรยากาศที่นี่คือสวยจริงๆคุณ แถมยังทำให้เราได้ผ่อนคลาย เรียกได้ว่าลืมเวลาเลยทีเดียว
แต่พลาดไม่ได้ก็คือตู้กดน้ำในประเทศญี่ปุ่นนี่แหละ ที่มีเยอะมากกกเรียกได้ว่าแทบจะทุกสี่แยก ทุกย่าน ทุกถนน เป็นอันต้องมีหมดเลยยยย แต่ในที่ NIKKO ก็จะมี Rare item ของโค้กอยู่นั่นเองโดนในนักสะสมกันเลยทีเดียว
นั่นก็คือ โค้กขวดอลูมิเนียมขวดนี้ ที่หากดที่ไหนไม่ได้นอกจากที่ NIKKO ที่เดียวและที่ขวดเขียนว่าลิมิเต็ด คือเลอค่าไปอีกกก ใครอยากได้มากดเองน้าาา และแต่ละสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของญี่ปุ่นก็จะมีคอลเลคชั่นโค้กแบบนี้ให้สะสมอีกด้วยน้าาาา
เดินจนเหนื่อยเพลียร่างกันหมด กว่าจะกลับถึงที่พักเล่นเอาเกือบค่ำเลย แต่ที่ฝากท้องของเราในที่ NIKKO นั่นก็คือ ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่มีชื่อว่า Lion Dor คิดว่าน่าจะเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ของเมืองนี้เลยเพราะว่าของด้านในนี่อลังมากกกกกกเลยนะคุณ ของกินเพียบ
แต่ที่ดีอีกอย่างนึงคือ แทบไม่อยากเชื่อ แค่ยืนอยู่หน้าซุปเปอร์มาเก็ต ก็เห็นวิวภูเขาหิมะสวยๆกันแล้ว บอกเลยว่า NIKKO คุ้มค่าแก่การมาแน่นอน ไม่ว่าจะมีเวลามากน้อยแค่ไหน แค่ได้นั่งมาในเมืองนี้เราว่าคุ้มแล้ววว
แต่ที่คุ้มกว่าสำหรับสายกินดุกิจุอย่างพวกเรานั่นก็ครือออ โซนอาหารจ้าาาา บอกเลยว่ามีให้เลือกล้านแปดพันเก้าอย่าง เวอร์ไป แต่เยอะจริง ไม่จกตา หยิบทุกอย่างที่อยากกิน สรุปความฟินคือโดนไปคนละเกือบละ 2,000 เยนนน คือถูกและคุ้มมากแต่ละอย่างดีย์จริงงง
DAY3
เช้าแล้ววว สูดอากาศใน Nikko พอสมควรแล้วก็นั่งรถไฟกลับเข้าโตเกียวกันจ้าาาา บ๊ายบายน๊าานิกโกะ
และนี่ก็คือ ชายเหงาๆกับกระเป๋าสองใบนั่นเอง นั่งรถไฟจาก NIKKO เข้าเมืองใช้เวลาราวๆ 2 ชั่วโมงเหมือนเดิม
ส่วนวันที่เหลืออยู่ในโตเกียวพวกเราเลือกพักตามรีวิวพันทิป และที่ฮอตฮิตที่แนะนำกันมานั่นก็คืออออ LAI’s House หรือมีชื่อเรียกว่า “บ้านป้าวรรณ” นั่นเองงง ซึ่งป้าวรรณเป็นคนไทย และใจดีมากกก ที่พักสะอาด สะดวก แถมยังอยู่ใจกลางเมืองอีกด้วยย ปากซอยทางเข้าก็มีเซเว่นคือดีไปอีกกก ห่างจากชินจูกุแค่สถานีเดียวเองน้าาา ใครมาเป็นกรุ๊ป นอนห้องรวมเราแนะนำที่นี่เลย ทุกๆเช้าป้าวรรณจะมีขนมปังหรือผลไม้มาให้กินกันด้วยครับ
และเดินออกมาไม่ไกลจากบ้านป้าวรรณ ก็มี “Don Quijote” มาเปิดด้วยน้าา หรือที่คนไทยเราเรียกกันว่า “ดองกี้” ใครจะซื้อขนมของฝากเราแนะนำที่นี่เลย ถึงแม้จะเป็นสาขาใหม่ ร้านเล็กๆแต่เราว่าขนมครบนะ ไม่ต้องไปหิ้วมาไกลให้เสียเวลา ที่สำคัญ Tax Free จ้าาา
มันหวานญี่ปุ่น
ดีไปอีกก็คือ มันหวานญี่ปุ่นและชานมไข่มุกจ้าาา อันนี้อยู่หน้าดองกี้เลยย ชื่อร้าน Tapi-mo มันหวานนี่ควรค่าแก่การกินเลยย คุณภาพแบบที่ขายแพงๆบ้านเราเลยแฮะ แต่ที่นี่หากินง่ายแถมราคาหัวละ 200 เยนหรือประมาณ 60กว่าบาทเท่านั้นเองง ถ้าซื้อในไทยหัวเท่านี้คุณภาพแบบนี้บอกเลยว่า 200+แน่นอน ส่วนชานมที่นี่หวานน้อยอร่อยหนักจ้าา
พอเริ่มอิ่ม เราก็ต้องเดินกันต่อเลย บอกเลยว่าทริปนี้ของเราเป็นทริปมหาโหด เดินวันนึงนี่ต่ำๆก็ 2 หมื่นกว่าก้าวแล้วว พีคสุดคือวันละ 3หมื่นก้าวน่องไม่ตึงให้มันรู้ป๊ายยยยยยยยยย
เรานั่งรถไฟมาลงที่ Kawasaki Station เพื่อมายังสถานที่ลึกลับแห่งนึงบอกเลยว่าโดนใจสายคีบตู้แน่นอนนนน
ตึกสภาพเก่าๆเหมือนตึกร้างนั่นล่ะคือที่หมายของพวกเรา
และสถานที่แห่งนี้ก็ครืออออ KAWASAKI WAREHOUSE ซึ่งด้านในมีมุมให้ถ่ายรูปเยอะเลยย อีกทั้งยังมีตู้คีบตุ๊กตา รวมไปถึงตู้เกมส์แบบหลากหลายอีกด้วย ปาจิงโกะก็มีนะเออ
มุมถ่ายรูปคือสวยมากกก อารมณ์เหมือนตึกสุดหลอนบรรยากาศคือได้ จำลองมาเหมือนอารมณ์ตลาดสดยุคเก่าๆแบบหลอนๆ คือดีฮะกลายเป็นอีกอารมณ์ไปเลย
จากนั้นภาพก็ตัดดดดดด แล้วเราก็ออกมาพร้อมกับฟิกเกอร์และตุ๊กตา // ซาวด์เอฟเฟคดังขึ้นแบบผู้ชนะ
เดินกลับมาเรื่อยๆตามทาง นั่งรถไฟกลับมาในย่านที่พักและล่องลอยหมดไปอีกหนึ่งคืนตามประสาแก๊งค์คนอ้วนที่หาของกินยามดึก
DAY4
ด้วยความเหนื่อยล้าที่สะสมจากการเดิน เดิน เดินและก็เดินมาหลายวัน บวกกับการตื่นนอนตี3ตี4ทุกวัน และวันนี้ก็เช่นกัน พวกเรานัดกันตื่นตี4 เช่นเคยเพื่อที่จะไปถึงสถานี Shinjuku ให้ทันรถบัสเที่ยวแรกที่เราได้ซื้อตั๋วจากไทยไว้ที่จะไปยัง Kawaguchiko จำให้ขึ้นใจสำหรับใครที่จะเดินทางในประเทศญี่ปุ่น คุณจะใช้มาตรฐานนัดคนไทยกับคนที่นี่ไม่ได้ เพราะที่ญี่ปุ่นนี้เคร่งครัดเรื่องเวลามาก เพราะถ้าคุณสาย เพียง1นาที คุณก็สามารถตกรถได้ทันที เหมือนเช่นพวกเรา T^T
โอเค ไม่เป็นไรพลาดบัสเที่ยวแรกไปแล้ว พวกเราก็ต้องซื้อตั๋วรอบใหม่ และในที่สุด เราก็มาถึง Kawaguchiko ซื้อPass นั่งรถไฟไปลงตามสถานีต่างๆ เพื่อเที่ยวชมบรรยากาศรอบๆ ของทะเลสาบทั้ง5ที่โอบล้อมภูเขาไฟฟูจิเอาไว้กันเถอะ
และพวกเราก็กำลังเดินไปชมความสวยงามของเจดีย์แดงชูเรโตด้วยล่ะ เจดีย์แห่งนี้เป็นเจดีย์ 5ชั้นที่ตั้งอยู่บนเขาในสวนอาราคุระยามะเซนเกน อยู่ไม่ไกลจากทะเลสาบคาวากูจิโกะเลยนะ ระหว่างทางที่เดินมาก็จะได้เห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านที่นี่ด้วย เดินกันเพลินๆเลย เห็นวิวคุณฟูจิอยู่ข้างหลัง ถือเป็นความโชคดีของพวกเราจริงๆที่คุณฟูจิไม่ขี้อายเลยแม้แต่น้อย
ระหว่างทางเจอฝาท่อน่ารักๆอีกแล้ว ก็ไม่ลืมที่จะเก็บไว้เป็นคอลเล็คชั่นเช่นเคย
และแล้วเราก็มาถึงทางขึ้นไปยังยอดเขาเจดีย์ชูเรโต (Chureito Pagoda)จนได้ เย่!!! จะดีใจไปไหน เราจะต้องเดินขึ้นบันไดไปอีกกว่า 400ขั้น ช่ายแล้ววว 400กว่าขั้น ตามนั้นแหละ เอาวะ!!
หนทางยังอีกยาวไกล แต่อากาศช่างเป็นใจ ให้เดินได้ชิลล์ๆ
เหนื่อยก็แวะถ่ายรูป แวะเก็บภาพบรรยากาศระหว่างทางขึ้นเขากันไป
เดินจนเกือบถึงจุดหมาย พวกเราหันกลับไปดูยังจุดเริ่มต้นที่เดินกันมา แต่วิวข้างหลังที่พบเจอนั้น มันช่างสวยงามราวกับภาพวาดเหลือเกิน ภูเขาฟูจิที่ตั้งตระหง่านรายล้อมไปด้วยตึกสูงต่ำ ไปกันต่อๆ อีกนิดเดียวก็จะถึงแล้วนะ
และแล้วเราก็ขึ้นกันมาถึงเจดีย์แดงจนได้ รู้สึกหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เจดีย์สีแดงศิลปะแบบแดนอาทิตย์อุทัยรอต้อนรับนักท่องเที่ยวและผู้ศรัทธาอยู่บนเขาแห่งนี้ มันช่างสวยงามจริงๆ
ไหนๆก็ขึ้นมาถึงบนนี้แล้ว เห็นในรูปใครต่อใครมาก็เยอะ เราก็ไม่พลาดที่จะเก็บภาพเจดีย์แดงและภูเขาไฟฟูจิจากมุมยอดฮิตของคนทั่วทั้งโลกมาเช่นกัน อิอิ
นอกจากมุมยอดฮิตบนเขาเมื่อกี้แล้ว พวกเราก็เก็บภาพคุณฟูจิสวยๆในมุมต่างๆ ของที่นี่มาให้ชมกันอีกด้วยนะ ชอบมุมไหนกันบ้างเอ่ย
มุมไหนๆก็สวยไปหม๊ดดด ต้องมาดูด้วยตาตัวเองให้ได้นะ
เก็บภาพชมวิวกันจนหนำใจ กระเพาะก็เริ่มทำงาน มองนาฬิกาเป็นเวลาเที่ยงตรงพอดี พวกเราก็เลยไปหามื้อเที่ยงกินกัน และเดินเที่ยวชมตามจุดต่างๆในเมืองนี้กันต่อไป
ร้านขายสาเกในสไตล์เจแป๊น เจแปน
ก่อนกลับก็แวะนั่งชิลล์ๆกับเพื่อนๆ รับลมหนาวๆที่พัดมาจากทะเลสาบยามานากะให้ได้ฟิลกันสักหน่อย
จากนั้นพวกเราก็เดินมารอขึ้นบัสเพื่อกลับเข้าโตเกียว เจ็บแล้วต้องจำ รอบนี้ไม่มีตกรถแน่นอน ฮ่าๆ
ระหว่างที่รอรถ ก็ได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนในสายอาชีพต่างๆที่ทำงานกันอยู่ที่นี่ เวลาพักก็พักไป ส่วนคนไหนที่กำลังทำงานก็ขยันขันแข็งสมกับเป็นชาวญี่ปุ่นดีจริงๆ
เย่!! ในที่สุดรถก็มาแล้ววว เตรียมพร้อมขึ้นไปหลับยาวๆได้เลย เพราะจากที่นี่เดินทางกลับโตเกียวใช้เวลาประมาณ 1ชั่วโมง40นาที แต่ขากลับช่วงเย็นๆก็อาจจะต้องใช้เวลานานกว่านั้น เผื่อเวลารถติดกันด้วยนะจ๊ะ
ถึงสถานีชินจูกุฟ้าก็มืดซะแล้ว วันนี้ออกลุยกันตั้งแต่เช้า กลับเข้าเมืองมาฟ้าก็มืดอีกแล้ว ทั้งเหนื่อยทั้งหิว แต่ด้วยความหิวที่มีมากกว่า ทำให้มีแรงฮึดออกเดินเพื่อไปหามื้อค่ำกินกันก่อนกลับไปนอน
หาอะไรกินแถวชินจูกุเสร็จแล้วก็เดินไปเรื่อยๆ ตามประสาวัยรุ่นเห่อเที่ยวอิอิ เราก็เดินกันมาจนถึงย่าน Kabukicho ย่านแห่งแสงสีความบันเทิงยามราตรี คืนนี้คนเยอะมากจริงๆ
เดินเล่นกันเพลินๆในย่านที่ถูกเรียกว่าเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับใหล แสงสีสองข้างทางสว่างไสวไปหมด มีทั้งร้านค้า ร้านอาหาร รวมถึงไนท์คลับเยอะแยะมากมาย เดินเล่นกันจนหนำใจพวกเราก็กลับไปนอนเอาแรงเพื่อเช้าวันต่อไปกัน
DAY 5
เช้านี้ตื่นเช้ากันเหมือนเคย โปรแกรมวันนี้ของพวกเราคือ ไปตะลุยตลาดปลา Tsukiji นั่งรถไฟใต้ดินมาโผล่ที่สถานี Tsukijiพอดี เช้านี้อากาศเย็นเหมือนเดิม แต่พวกเราก็สู้ไม่ถอย งั้นไปกันเลย
ตลาดที่นี่ยังคงครึกครื้น แม้ในส่วนของตลาดประมูลปลาจะถูกย้ายออกไปยังอีกที่นึงแล้ว แต่พวกร้านรวงอื่นๆก็ยังคงขายกันอยู่เช่นเดิม มีทั้งของสด ผลไม้ รวมไปถึงของฝากต่างๆ ในราคาไม่แพง
มากี่ครั้งก็ยังคงต้องขอแวะซื้อโมจิสตรอเบอร์รี่ และเมล่อนสดๆกินทุกครั้ง อร่อยและสดหวานเหมือนเดิม
ร้านนี้ก็ต้องแวะจ้าา มีทั้งอูนิและเนื้อA5 ในราคาที่เราสามารถเอื้อมถึงได้ไม่ยาก แถมรสชาติยังดีด้วยความสดในราคาสบายกระเป๋าสุดๆ ใครไม่แวะถือว่าพลาดมากบอกเลยยยย
หลังจากกินกันจนหนำใจ โปรแกรมต่อไปฮาราจูกุจ้าา
จากตลาดปลาก็เดินให้ย่อยกันหน่อย แดดแรงมากแต่อากาศก็หนาวมากเช่นกัน
ในที่สุดก็เดินมาจนถึง ย่านHarajuku ย่านนี้ฟิลล์จะต่างจากย่านตลาดปลาเมื่อกี้อย่างสิ้นเชิงเลย เรียกได้ว่าเป็นแหล่งรวมวัยรุ่นและแฟชั่นนิสต้าโดยแท้ แต่ละคนแต่งตัวไม่ยอมกันเลยจริงๆแม้จะเป็นในหน้าหนาวก็ตาม
ที่นี่แหละที่จะเป็นแหล่งละลายทรัพย์อย่างจริงจังของพวกเราในวันนี้ ฮ่าๆ เรียกได้ว่ามีครบทุกอย่างแล้วที่เราต้องการ ทั้งรองเท้าที่ถูกกว่าในไทยมากกอีกทั้งบางรุ่นเพิ่งออกมาใหม่ซึ่งในไทยก็ยังไม่มี รวมไปถึงกระเป๋า เสื้อผ้า และอย่างอื่นให้เลือกช็อปกันอีกมากมายเลย
คนแน่นมาก ณ จุดนี้ แต่พวกเราก็สู้สุดใจได้ของติดไม้ติดมือกันมาพะรุงพะรังกันทุกคน
ด้วยความพะรุงพะรังบ้าหอบฟางของพวกเราจึงตัดสินใจกันว่าจะนั่งรถไฟไปลงที่สถานีชินโอกุโบะเพื่อเก็บของไว้ที่พักกันก่อน แล้วจึงนั่งรถไฟไปย่าน Shibuya เพื่อออกช็อปปิ้งกันต่อ อิอิ
มาถึงชิบุย่าแล้วว โอ้ววววแม่เจ้า ช่วงวันหยุดนี้คนเยอะมากจริงๆ แน่นจนเราไม่สามารถจะเก็บภาพฮิปๆตรงห้าแยกชิบุย่ากันได้เลย ฮือออT^T
ไม่ได้ถ่ายรูปตรงห้าแยก ก็ขอให้ได้เช็คอินกับน้องหมาฮาจิโกะก็ยังดี เอ้ายิ้มนะๆ 1 2 3 แชะ!!!
จากนั้นพวกเราก็ตะลุยเดินช็อปกันอย่างไม่บันยะบันยัง ราวกับขาดสติไปชั่วขณะ รู้สึกตัวอีกทีก็มืดค่ำอีกแล้ว จึงแวะกินมื้อเย็นก่อนกลับไปยังที่พัก เพื่อเตรียมจัดกระเป๋าเตรียมตัวไปสนามบินในวันพรุ่งนี้
DAY 6
เช้านี้เป็นเช้าวันสุดท้ายของพวกเราในทริปนี้ที่ญี่ปุ่น และเป็นเช้าแรกที่เราไม่ต้องตื่นกันตั้งแต่ฟ้ายังมืด เราเช็คเอ๊าท์ออกจากที่พักเรียบร้อย แต่ยังคงฝากกระเป๋าไว้ที่บ้านป้าวรรณ เพื่อที่จะมาเก็บตกช็อปปิ้งกันอีกนิดหน่อยแถวชินจูกุ
เช้านี้ที่สถานีชินจูกุ ชาวญี่ปุ่นซึ่งไม่เคยหยุดเดิน ยังออกเดินกันอย่างเร่งรีบเหมือนเช่นเคย
ร้านค้าและห้างสรรพสินค้าต่างๆของที่นี่ ส่วนมากจะเปิดกันราวๆ 10ถึง11โมงเช้า และเรามาถึงเร็วเกินไป ห้างยังไม่เปิด ก็เลยเก็บภาพบรรยากาศยามเช้าของย่านสถานีชินจูกุจากบนสะพานลอยมาฝาก มุมฮิตที่ถนนยังคงโล่ง
ช่วงสายๆ หลังจากเราเดินออกจากในห้าง สังเกตเห็นว่าผู้คนเดินกันขวักไขว่มาก ผิดจากทุกๆวันที่ชินตา เอ้…นี่มันเกิดอะไรขึ้นนะ
อ้อออ ที่แท้สัญญาณไฟจราจรขัดข้องนี่เอง ทำให้ย่านนี้ทั้งย่านกลายเป็นถนนที่ไร้กฏจราจรไปเลย จากผู้คนที่เคยรักษากฏระเบียบอย่างเคร่งครัด ตอนนี้กลับเดินกันยุงเหยิงเต็มถนนทุกแยก จนแทบจะชนกันให้ได้ แต่เราก็ยังไม่เห็นรถขับเข้ามาสักคัน
โอ้วววว ที่แท้พวกเค้าแก้ปัญหานี้ด้วยการนำรถบัสและแผงกั้น มากันไม่ให้รถเข้าออกในช่วงที่สัญาณไฟขัดข้องนี่เอง ผู้คนจึงสามารถเดินกันเต็มถนนได้ เอ้ออ ก็เป็นเรื่องอเมซิ่งอีกเรื่องนึงที่พวกเราได้เจอในครั้งนี้ จากนั้นพวกเราก็เดินทางด้วยรถไฟ Skyliner เหมือนตอนขาเข้าโตเกียววันแรก กลับไปที่สนามบินนาริตะเพราะพรุ่งนี้เราจะต้องเดินทางกลับประเทศไทยกันตั้งแต่ไฟล์ทเช้า จึงต้องมานอนค้างที่สนามบิน
สำหรับใครที่มีไฟล์ทบินกลับไทยเช้าๆเหมือนพวกเรา แนะนำให้มานอนค้างที่สนามบินได้เลย ไม่ต้องเสียค่าที่พักและไม่ต้องกลัวตกเครื่อง เพราะที่สนามบินนาริตะ Terminal 2 มีโซนที่เรียกว่า North waiting area ไว้ให้สำหรับผู้โดยสารไว้พักรอขึ้นเครื่อง มีทั้งโซนเตียงเสื่อยาวๆไว้ให้นอนรอแบบนี้
หรือจะนั่ง จะนอนรอตรงโซนเก้าอี้แบบนี้ก็ได้นะ ห้องกว้างมาก แต่ก็เงียบมากเช่นกัน มีจุดสำหรับชาร์ตแบตโทรศัพท์มือถือให้ รวมไปถึงห้องน้ำและตู้กดเครื่องดื่มไว้บริการด้วยนะ แถมเรื่องความปลอดภัยเค้าก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยผลัดเปลี่ยนกันมาดูแลความปลอดภัยให้ด้วย เรียกได้ว่า หลับรอกันสบายๆเลยจ้าา
DAY 7
เช้านี้ตื่นมาเช็คอิน โหลดกระเป๋ากันเรียบร้อย เดินเข้ามาผ่านด่าน immigration แล้วอย่าลืมช็อปปิ้งและแวะซื้อของฝากกันเป็นการส่งท้ายทริปนี้กันซะหน่อยนะ
สำหรับใครที่อยากหาซื้อขนมกลับไปกินหรือเป็นของฝาก แวะมาตรงโซนร้าน Akihabara บอกเลยว่าของแน่นแบบจุกๆเรียกได้ว่า แค่แวะดูก็ต้องมีเสียเงินกันอย่างแน่นอน เพราะขนมน่าซื้อเต็มไปหมด แพ็คเก็ตก็น่ารักจนต้องพากลับมาบ้านด้วยจริงๆนะ แต่ยังไงก็อย่าช็อปกันจนเพลินจนลืมเวลาขึ้นเครื่องล่ะ เดี๋ยวจะหาว่าพวกเราไม่เตือน อิอิ
และแล้วก็ได้เวลากลับไปเก็บเงินกันใหม่นะพวกเรา สำหรับทริปนี้สนุกสนานเดินกันจนเท้าบวม ช็อปกันจนกระเป๋าพัง สถานะการเงินล้มละลายก็ไม่เป็นไร เพราะยังไงก็ทำสำเร็จแล้วนะ กับสักครั้งในชีวิตได้พิชิตญี่ปุ่นแล้วจ้าา!!! ที่จะลืมไม่ได้เลย ไปกลับสะดวกสบาย แอร์สวยบริการดี ก็ AIRASIA X นี่แหละ รอบหน้าพวกเราจะไปตะลุยกันที่ไหนต่อ ต้องรอติดตามนะจ๊ะ ซาโยนาระ 🙂
แล้วเจอกันใหม่ในทริปเที่ยวต่างประเทศครั้งหน้า